คนไทย 2.4 ล้านคน เสี่ยงเป็นหนี้เรื้อรัง - KEY POINTSคนไทย 2.4 ล้านคน เสี่ยงเป็นหนี้เรื้อรัง - หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น 60% ใน 12 ปี โดยเฉลี่ย 5.4 แสนบาทต่อคนจาก 3.5 แสนบาท เสี่ยงเป็นหนี้เรื้อรังมีประมาณ 2.4 ล้านคนหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของจีดีพี ส่งผลให้เกิดความเปราะบางทางเศรษฐกิจคนไทย 2.4 ล้านคน เสี่ยงเป็นหนี้เรื้อรัง - ส่วนใหญ่ของหนี้เป็นหนี้อุปโภคบริโภค (76%) ซึ่งไม่สร้างรายได้เพื่อชำระหนี้ในอนาคตหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนแตะระดับ 90%ต่อจีดีพีทำให้ทุกภาคส่วนมองเห็นความเปราะบางทางเศรษฐกิจและต้องเร่งแก้ไข ในงานสัมนาประจำปี BOT Symposium 2024 เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ถ้าร่วมกันถกและหาทางออกให้กับหนี้ในหัวข้อ “หนี้” The Economics of Balancing Today and Tomorrowดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์ร่วมเสนอบทความเรื่อง “คนกับหนี้ครัวเรือน”ว่า หนี้ต่อหัวของครัวเรือนไทยช่วง 12ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 60% จากยอด หนี้คงค้าง 3.5 แสนบาทต่อราย เพิ่มเป็น 5.4 แสนบาทแล้วในงานวิจัยต่างประเทศก็ชี้ให้เห็นชัดว่า ประเทศที่มีหนี้สูงจะทำให้การเจริญเติบโตในระยะสั้นช้าลง การฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจก็จะช้าลงไปด้วย แสดงให้เห็นว่า การก่อหนี้ในอดีต ที่ไม่ได้มองระยะยาวกำลังสร้างกับดักให้กับภายในประเทศในอนาคตสำหรับสถานการณ์หนี้ของคนไทยจากข้อมูลของเครดิตบูโรที่ครอบคลุมคนอยู่ในระบบกว่า 25.2 ล้านราย รวมประมาณ 38% ของประชากรไทย ซึ่งหนี้ตรงนี้ยังไม่รวม สินเชื่อที่อยู่นอกเครดิตบูโร และไม่รวมคนที่ไม่ได้กู้ในระบบด้วย ซึ่ง 38% ของประชากรไทยนั้น ปัจจุบันมีหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.4 แสนบาทต่อคนส่วนใหญ่เป็นหนี้อุปโภคบริโภคเป็นหลัก เป็นการก่อหนี้ที่ไม่ได้มองยาวคือ เพื่อ ลงทุนหรือทำให้เกิดรายได้ ที่มากขึ้น ซึ่งต่างจากต่างประเทศชัดเจนที่หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นหนี้ เพื่อซื้อบ้านหรือเพื่อลงทุนเป็นหลักขณะที่สัดส่วนของผู้กู้ 76% ของครัวเรือนไทยมีหนี้อุปโภคบริโภคเป็นหลัก, 43% มีหนี้อุปโภคบริโภคอย่างเดียว (และกลุ่มอื่นมีหนี้ประเภทต่างและมีหนี้อุปโภคบริโภคด้วย) ซึ่งข้อเสียของการมีหนี้อุปโภคบริโภคอย่างเดียวคือ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพื่อชำระหนี้ในอนาคต และดอกเบี้ยที่สูง หากผิดนัดไม่กี่งวดดอกเบี้ยอาจจะทบต้นแล้ว“พิชัย” ถกผู้ว่าฯธปท. ดูแล “ค่าเงินบาท” เตรียมออกมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนส่วนปัญหาหนี้รุนแรงแค่ไหน พิจารณาใน 2 มิติคือ มิติแรก ดูพฤติกรรมการชำระหนี้ มิติที่ 2 ดูหนี้รายคนว่า เกินศักยภาพหรือยัง โดยใช้ข้อมูลรายสัญญา รายเดือนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาและจากฐานข้อมูล 100% พบว่า 22% อย่างน้อย 1 สัญญาที่เป็นหนี้ NPLแล้ว อีก 30% มีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงที่จะจ่ายขั้นต่ำ และเสี่ยงจะเป็นหนี้เรื้อรัง ปิดจบหนี้ไม่ได้ และ 43% ที่ชำระหนี้ได้ตามปกติส่วนมิติที่ 2.หนี้เกินศักยภาพหรือยัง พบว่า ที่มีข้อมูล 46% เริ่มมีหนี้ที่เกินศักยภาพ, 30%ชำระหนี้ได้ตามปกติ แต่ 24% มีข้อมูลไม่พอที่จะบอกได้ว่ามีหนี้เกินหรือยัง เมื่อรวม 2 มิติ สามารถแยกลูกหนี้เป็น 6 กลุ่มกลุ่มที่1. ชำระหนี้ได้ตามปกติ และมีหนี้ตามศักยภาพ (Healthy) ยอดหนี้คงค้าง 450,000 บาท จำนวน 3.6 บัญชีหรือสัญญา ซึ่งเราอยากให้คนไทยทุกคนเป็นอย่างนี้แต่ มีเพียง 25% หรือ 4.7 ล้านคนกลุ่มที่2. ชำระหนี้ได้ปกติ แต่เริ่มมีหนี้เกิน ศักยภาพ (Over Leverage) ยอดหนี้คงค้าง 280,000 บาท จำนวน 2.3 สัญญา มีอยู่ 20% หรือ 3.8 ล้านคนกลุ่ม3. สุ่มเสี่ยงเป็นหนี้เรื้อรัง แต่ยังมีศักยภาพในการชำระหนี้ (At Risk) ยอดหนี้คงค้าง 1,120,000 บาท จำนวน 5.2 สัญญา มีสัดส่วน 13% หรือ 2.4 ล้านคนกลุ่ม4. สุ่มเสี่ยงเป็นหนี้เรื้อรังและมีหนี้เกินศักยภาพ (Constrained/at risk) มีถึง 25% หรือ 4.8 ล้านคน ยอดหนี้คงค้าง 790,000 บาทจำนวน 4.8 สัญญากลุ่ม5. เป็นหนี้ NPL แล้ว อย่างน้อย 1 สัญญา และยังพอมีศักยภาพอยู่บ้าง (กลุ่ม NPL) มียอด หนี้คงค้าง 660,000บาท จำนวน 4 สัญญา แต่สัดส่วนน้อยมากเพียง 1% หรือ 0.3 ล้านคน (สามแสนคน)กลุ่ม6. มีอย่างน้อย 1 สัญญาเป็น NPL และมีหนี้เกินศักยภาพ (Constrained NPL) มียอดหนี้คงค้าง 540,000 บาท จำนวน 3.9 สัญญา มีสัดส่วน 16% หรือ 3.1 ล้านคน“จาก 6 กลุ่มจะเห็นได้ว่า คนที่ชำระได้ปกติจริงๆมีเพียง 25% เท่านั้น ส่วนกลุ่มอื่นเริ่มมีความสุ่มเสี่ยงตามลำดับ โดยกลุ่ม 1 และ 2 เป็นกลุ่มที่มีหนี้น้อยที่สุด เป็นกลุ่มรายได้น้อย จำนวนสัญญาน้อย ขณะที่กลุ่ม 3 และ 4 น่ากลัว โดยมีหนี้เฉลี่ยสูงที่สุดและมีจำนวนสัญญามากที่สุด”ผลศึกษาเห็นแล้วว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยเป็นปัญหาคนตัวเล็ก ในวงกว้าง คนไทยเป็นหนี้อายุยังน้อย ซึ่งคนอายุน้อยจะเป็นกำลังของชาติ? และเป็นคนมีรายได้น้อยก็ยากที่จะแก้หนี้ และพบว่ากลุ่ม Healthy กระจุกตัวในกรุงเทพและปริมณฑล แต่กลุ่มที่เริ่มมีปัญหาน่าจะกระจายตัวในต่างจังหวัดสำหรับแนวทางแก้ปัญหาคือต้องแก้ปัญหาในทุกภาคส่วนครบวงจรต้องแก้ให้ตรงจุด นโยบายต่างตรงกับกลุ่ม เพราะลูกหนี้มีหลายประเภทโดยครอบคลุม 3 ด้านคือนโยบายแก้หนี้เดิมนโยบายปล่อยหนี้ใหม่นโยบายสร้างรายได้"แต่ยังมีความท้าทายใน 3 ประเด็นคือ ทำอย่างไรให้คนเข้าใจได้มากขึ้น (อัพสเกล), ทำอย่างไรให้นโยบายเข้าถึงคน (อิมแพค) และทำให้ยั่งยืนได้อย่างไร"Cr.https://www.thansettakij.com/finance/financial-banking/608449